ผ้าทอบ้านปึก มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ผ้าทอคุณย่าท่าน” เพราะเป็นผ้าทอที่เกิดจากพระราชดำริของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ให้สืบสานงานผ้าทอมือโบราณสมัยรัชกาลที่ 5 ให้อยู่คู่กับตำบลบ้านปึก และจังหวัดชลบุรี โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มีพระราชกระแสรับสั่งให้ตำบลบ้านปึกอนุรักษ์ผ้าทออ่างหิน เมื่อครั้งที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชาเมื่อปี 2556 โดยทรงทราบผ้าทอดังกล่าวมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งเป็นสมเด็จย่าของพระองค์ ต่อมาจังหวัดชลบุรีได้น้อมนำพระราชกระแสรับสั่ง จัดตั้งเป็นศูนย์อนุรักษ์และศูนย์การเรียนรู้ผ้าทอโบราณ และเปลี่ยนชื่อจากผ้าทออ่างศิลาบ้านปึก เป็นผ้าทอคุณย่าท่าน ซึ่งเป็นผ้าฝ้ายผสมโทเร ที่มีลวดลายโดดเด่นเฉพาะตัว คือ ลายไส้ปลาไหล-นกกระทา ที่คนในสมัยโบราณหากได้เห็นผ้าลายนี้แล้วจะรู้ได้ในทันทีว่า เป็นผ้าทอมือลายหิน ที่มาจากตำบลอ่างศิลา ปัจจุบัน เป็นสินค้าขายดี มีออเดอร์สั่งจองยาวเหยียด ถ้าอยากได้ต้องสั่ง และรออีกประมาณ 2-3 เดือนครับ
ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่ออีกอย่างของที่นี่ คือ “แป้งเท้ายายม่อม” ฟังชื่อแล้วอย่าคิดว่า เป็นแป้งที่นวดโดยเท้าของยายม่อม..นะครับ แต่เป็นแป้งที่ทำจากพืชล้มลุกพันธุ์โบราณและหายาก เป็นพืชอายุยืน ไม่มีลำต้น เหง้าใต้ดินเป็นหัว กลมแบนหรือรีกว้าง เปลือกหัวบาง ผิวเรียบ เมื่ออ่อนสีขาว แก่แล้วเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาล เนื้อหัวสีขาว ฉ่ำน้ำเล็กน้อย ชื่อว่า...เท้ายายม่อม ครับ
และเพราะแป้งเท้ายายม่อม มีความละเอียดมาก มีสีขาว ใสและคงรูปไม่เหลวแตกต่างจากแป้งชนิดอื่น เลยทำให้ราคาของแป้งชื่อแปลกนี้ สูงถึงกิโลกรัมละ 400 บาททีเดียวครับ
แค่ที่แรกทริปอ่างศิลาของผมก็คึกคักแล้วใช่มั้ยครับ งั้นเราไปต่อกันเลยครับ ห่างจากบ้านปึกไม่ไกล ติดชายทะเลทางลงตลาดอ่างศิลา เป็นที่ตั้งของตึกเก่าโบราณ ที่มีตำนานทั้งตำนานรักและเป็นที่มาของชื่ออ่างศิลาด้วยครับ นั่นก็คือ “ตึกแดง” และ “ตึกขาว” ครับ
ตึกแดง และตึกขาว ตั้งอยู่เคียงคู่กันเป็นอาคารที่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรม เป็นการผสมผสานระหว่างไทย จีน และตะวันตก สำหรับ ตึกแดง มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่ง ว่า “ตึกราชินี” เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้นสีแดง มีส่วนที่เป็นระเบียงติดกับพื้นดินรองรับส่วนหน้าของอาคาร หลังคาทรงปั้นหยายกจั่ว มีมุขยื่นออกมาทั้งชั้นล่างและชั้นบน ลักษณะเหมือนบ้านกงสุลอังกฤษ และโปรตุเกสในสมัยนั้น ความสำคัญของตึกนี้ ก็คือ เป็นอาคารที่ครั้งหนึ่งเจ้าจอมมารดา เจ้าดารารัศมี ธิดาของเจ้านครเชียงใหม่ พระสนมเอกในรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จมาทรงพักรักษาพระองค์ที่นี่ ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกริมทะเลที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดชลบุรี
ส่วนที่ว่าเป็นที่มาของชื่ออ่างศิลา เพราะในบริเวณใกล้ๆ กับตึกแดง มีบ่อน้ำจืดธรรมชาติ ที่ชาวบ้านอ่างศิลาใช้ดื่มกินมาแต่ครั้งอดีต เมื่อครั้งที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสจังหวัดชลบุรี มีลายพระราชหัตถเลขาพรรณนาตอนหนึ่งว่า “เรียกชื่ออ่างศิลานั้น เพราะมีแผ่นดินสูงเป็นลูกเนิน มีศิลาก้อนใหญ่ๆ เป็นศิลาดาดและเป็นสระยาวรีอยู่ 2 แห่ง” และเมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าบ่อดังกล่าวสามารถเป็นที่ขังน้ำฝนได้จึงทรงก่อเสริมปากบ่อกั้นน้ำ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถนำน้ำฝนไปใช้ได้ จึงเรียกว่า “บ้านอ่างศิลา” มาตั้งแต่บัดนั้น
ส่วนตึกขาว..มีอีกชื่อว่า ตึกมหาราช เป็นตึกเก่าโบราณอีกตึกหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า “พระตำหนัก ร.5” เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้นสีขาว หลังคาทรงปั้นหยา แม้ในปัจจุบันจะดูทรุดโทรมไปบ้าง แต่ความงดงามทางสถาปัตยกรรมก็ยังมีให้เห็นอยู่ ใกล้ๆ กันเป็นที่ตั้งของ ศาลเจ้าแม่หินเขา ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเล เป็นศาลเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบจีนอันสวยงาม เป็นศาลเจ้าที่สร้างยื่นออกไปในทะเล มีคำบอกเล่าต่อๆ กันมาโดยสันนิษฐานว่า เจ้าแม่หินเขานี้น่าจะเป็นดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี หรือ พระนางเรือล่ม พระปิยมเหสีใน รัชกาลที่ 5 เชื่อกันว่า เจ้าแม่หินเขาทรงแผ่บารมีแก่ชาวเรือทั้งหลายให้คลาดแคล้วจากภัยทางน้ำให้ปลอดภัย
เหนื่อยกันแล้วครับ ต้องเติมพลังด้วยอาหารทะเลกันสักนิด ริมทะเลอ่างศิลาเลาะเรื่อยลงไป ตามทางที่เรียกว่า “แหลมแท่น” มีร้านอาหารทะเลพื้นบ้านหลายร้าน อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ แนะนำเลยนะครับต้องลองสั่งดู “ต้มเลหมึกน้ำดำ” ครับ รสชาติฉูดฉาด แซ่บเว่อร์ ได้ใจเลยล่ะครับ เพราะเขาใส่ทั้งมะดัน และมะนาว เรียกว่าเปรี้ยวมะนาว หอมมะดัน แทบยกชามซดกันเลยล่ะครับ
ตกบ่าย ..เป็นทัวร์ธรรมะหรรษาครับ เริ่มโปรแกรมตอนบ่ายกันที่ มหาเจดีย์เกตุแก้วจุฬามณีอาสนสุขมหาวิหาร หรือ มหาเจดีย์วัดแสนสุข ที่ตอนนี้ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กอีกแห่งของชลบุรีครับ เพิ่งสร้างได้ไม่นาน คล้ายเจดีย์วัดอัษฎางคนิมิต บนเกาะสีชัง งดงามด้วยบันไดนาคหลากสีทอดยาวรอบทิศ ภายในพระมหาเจดีย์บรรจุ พระบรมธาตุ พระธาตุ อัญมณีธาตุ เครื่องเทียบบรรณาการทองคำ พร้อมวัตถุมงคล ...ของสุดยอดมงคลมาอยู่รวมกันแบบนี้ ใครได้กราบไหว้ สักการบูชาก็ย่อมจะได้รับแต่สิ่งอันเป็นมงคลกลับไป
และอีกที่หนึ่ง ที่ถ้ามาถึงอ่างศิลาแล้วไม่ไปไม่ได้ นั่นก็คือ “ศาลเจ้านาจา” ที่มีมูลค่าการก่อสร้างถึง 300 ล้านบาท เดิมเป็นเพียงศาลเจ้าเล็กๆ แต่ด้วยความเคารพศรัทธาของผู้ที่มากราบไหว้ด้วยเชื่อกันว่าให้โชคทางด้านการค้า ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกพัฒนาปรับปรุงเรื่อยมาจนเป็นศาลเจ้าจีนที่ใหญ่โตสวยงามตระการตา
แล้วก็ถืงเวลาช็อปกันแล้ว หลายคนอยากได้ครกอ่างศิลาติดมือกลับบ้าน แต่ต้องบอกว่า ถึงจะมาถึงอ่างศิลา แต่ก็ใช่ว่าจะซื้อครกอ่างศิลาแท้ๆ ได้นะครับ เพราะครกอ่างศิลาแท้ๆ นอกจากจะเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว ราคายังสูงเป็นหลักพันจนถึงหลักหมื่นตามขนาดของครกเลยล่ะครับ...คุณสมบัติพิเศษของครกหินอ่างศิลา คือ ทำจากหินแกรนิต สีขาวนวลหรือสีเหลืองมันปู คุณสมบัติแกร่งเหนียว ในเนื้อหินมีเกล็ดเพชรแวววาว เป็นเอกลักษณ์ จนได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา เป็นครกที่ตีด้วยมือจากช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ที่สืบทอดภูมิปัญญามาตั้งแต่บรรพบุรุษ ส่วนครกหินสีดำๆ ที่วางขายกันหลายๆ ร้านนั้น เป็นครกจากหินที่นำมาจากสระบุรี ราคาหลักร้อยครับ
ปิดทริปกันที่ ร้านกาแฟสุดชิค “Red Temp” ร้านกาแฟที่สวยงาม เป็นจุดชมวิวบนเขาสามมุข มีประภาคารสูงที่สามารถขึ้นไปชมวิวแบบ 180 องศาได้ ที่นี่..มีมุมให้โพสท่าถ่ายรูปแบบเหมือนกับไปยุโรปเลยล่ะครับ
จบแล้วครับ...ทริปอ่างศิลา เที่ยวใกล้ๆ ไม่ไกลกรุงเทพฯ..คราวหน้า นายตะลอนจะพาป้าๆ ไปไหน ต้องติดตามกันนะครับ...!!
นายตะลอน
"ที่มา" - Google News
June 06, 2020 at 04:01PM
https://ift.tt/3gYfyRy
“อ่างศิลา” เสน่ห์วันวาร ที่ไม่เคยจางหาย - ไทยรัฐ
"ที่มา" - Google News
https://ift.tt/2ZXuIAi
No comments:
Post a Comment