"ยาดม" นับเป็นยาสามัญประจำบ้าน ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข และมีประวัติความเป็นมานานถึง 6,000 ปี โดยเป็นที่รู้จักของคนไทยอย่างแพร่หลายมาตั้งแต่รัชกาลที่ 2 จนถึงปัจจุบัน
เมื่อเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คล้ายจะเป็นลม หากต้องการบรรเทาอาการเหล่านั้น คนไทยเกิน 60% ไม่ได้นึกถึงยาพาราเซตามอล หรือตัวยาอื่นๆ แต่ทุกคนกลับนึกถึง “ยาดม” ที่ดมเมื่อไหร่ก็ชื่นใจ แถมอาการปวดหัวหรือความมึนงงต่างๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้งแบบไม่น่าเชื่อ และสำหรับบางคน ยาดม นับเป็นไอเท็มยอดฮิตที่ต้องมีติดกระเป๋า ที่หยิบขึ้นมาดมเมื่อไหร่ก็ชื่นใจเมื่อนั้น
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ บางคนอาจจะบอกว่า.. เว่อร์หรือเปล่า? ที่เหมารวมคนไทยว่าต้องติด "ยาดม" ต้องบอกว่าถึงแม้จะมีคนไม่ปลื้มยาดม แต่คนไทยส่วนใหญ่! รู้สึกดีกับยาดมกันทั้งนั้น และนับเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่าย Thailand Only ฝรั่งหรือคนต่างชาติเห็นแล้วเอากลับไปเมาส์ว่าคนไทยมีนิสัยน่ารักชอบเดินเอายาดมแท่งๆ เสียบจมูก ถือเป็นความสามารถที่น่าปลื้ม ดังในรายการวาไรตี้ญี่ปุ่นที่มีหัวข้อพูดถึงยาดมจากประเทศไทยว่ามันเป็นเรื่องพิเศษที่คนไทยทำแต่ชาติอื่นไม่ทำ หลังจากรายการดังกล่าวออนไลน์ส่งผลให้ยาดมกลายเป็นไอเทม Must have ของฝากจากประเทศไทยที่ชาวญี่ปุ่นรู้จักกันดีไปซะแล้ว
ไม่เพียงเท่านี้ "ยาดม" ยังเป็นยาสามัญประจำบ้าน ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยระบุว่ายาดมหรือทาแก้วิงเวียน หน้ามืด คัดจมูก เป็นรายการยาที่ควรมีในบ้านเป็นลำดับที่ 8 โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทได้แก่
- ยาดมแก้วิงเวียน เหล้าแอมโมเนียหอม
- ยาดมแก้วิงเวียน แก้คัดจมูก
- ยาทาระเหยบรรเทาอาการคัดจมูกชนิดขี้ผึ้ง
- ที่มาของยาดม
คนไทยอยู่คู่กับยาดมมานานตั้งแต่มีการใช้สมุนไพรเป็นยารักษาโรคต่างๆ แต่ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยแน่ชัดว่าเราเริ่มใช้ยาดมกันเมื่อไหร่ หากนับตามยี่ห้อยาดมเก่าแก่ในประเทศไทย อย่างยี่ห้อโป๊ยเซียนก็เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อปี 2479 และแพร่หลายตั้งแต่นั้นมา
แต่ถ้าย้อนนับไปจนถึงการใช้สมุนไพรในการรักษาหมวดของ ยาที่ใช้กลิ่นบำบัด (Aromatherapy) หรือที่แปลงเป็นยาดมในปัจจุบันนี้ เป็นที่รู้จักกันมานานกว่า 6,000 ปี เริ่มต้นใช้ในอียิปต์ ชาวอียิปต์มักใช้การเผาให้ได้มาซึ่งกลิ่นหอมเพื่อบูชาเทพเจ้า ชาวโรมันได้รับความรู้ทางการแพทย์ด้วยการใช้กลิ่นบำบัดรักษามาจาก ชาวกรีกและ ได้พัฒนาหลักความรู้นี้ผสมผสานกับศาสตร์อื่น
ความรู้เกี่ยวกับอโรมาออยล์และน้ำมันหอมแพร่กระจาย และได้รับความนิยมมากขึ้นหลังสงครามครูเสด ระหว่างปี ค.ศ.980-1037
ทวีปเอเชีย ก็มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันว่าชาวจีนรู้จักวิธีใช้พืชสมุนไพร และกลิ่นหอมมานานพอๆ กับชาวอียิปต์ ในหนังสือสมุนไพรเล่มหนึ่งของจีนมีการจดบันทึกไว้เมื่อ 2,700 ปีก่อนคริสตกาล ชาวจีนสามารถแยกสารหอมจากพืชธรรมชาติได้มากกว่า 300 ชนิด และเช่นเดียวกับชาวอียิปต์ ชาวจีนก็ใช้การเผาไม้หอม เพื่อบูชาเทพเจ้า
ในสังคมไทยหากจะกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ผู้ทรงโปรดปรานเครื่องสุคนธรส (เครื่องหอม) แล้วคงจะต้องกล่าวถึงพระนามของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่สุนทรภู่ได้เขียนถึงพระองค์ไว้ในปราสาทภูเขาทองว่า
เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบ
ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา
สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธรา
วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์
แสดงให้เห็นว่าในประเทศไทย เรานิยมการดมกลิ่นเพื่อการรักษาตั้งแต่สมัยของรัชกาลที่ 2 กันแล้ว
- ส่วนประกอบยาดม
คนไทยโบราณโดยเฉพาะในภาคกลาง ทำยาดมจากผิวส้มโอมือผสมเครื่องหอมอื่นๆ ที่มีส่วนช่วยทำให้สดชื่น และบำรุงหัวใจ แต่ต่อมามีการเติมพิมเสนการบูรและเกล็ดสะระแหน่ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมเย็นซ่า ปัจจุบันยาดมมีหลากหลายชนิด ทั้งที่เป็นแบบดั้งเดิมที่มีชิ้นสมุนไพร เช่น ส้มโอมือชนิดน้ำ ชนิดชุบไส้กรอง
โดยสมุนไพรส่วนใหญ่ที่นิยมนำมาทำยาดม ประกอบไปด้วย
1. พิมเสนเกล็ด Borneol (พิมเสนเทียม) , พิมเสนแท้ Borneol camphor
เป็นวัตถุได้จากต้นพิมเสน อีกทั้งยังเป็นสารสกัดจากพืชใช้รักษาแผลสด มีกลิ่นหอม แก้ลมวิงเวียนหน้ามืด ช่วยขับลม บํารุงหัวใจ ทําให้ชุ่มชื่น ทําให้เรอ ขับผายลม แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ แก้ปวดท้อง แก้บาดแผลสด แผลเรื้อรัง แผลกามโรค แผลเนื้อร้าย
2. เมนทอล (Menthol Crystal)
เป็นสารสกัดจากนํ้ามันสะระแหน่ (peppermint oil) ซึ่งได้มาจาก พืช Mentha piperita ใช้เป็นยาภายนอกเกี่ยวกับการลดอาการปวดเมื่อย ฆ่าเชื้อ และใช้เป็นยาขับลม คุณสมบัติ คล้ายกับนํ้ามันเปปเปอร์มิ้นท์เพราะสกัดมาจากนํ้ามันสะระแหน่
3. ผงการบูร
เป็นเกล็ดกลมเล็กๆ สีขาวแห้ง อาจจับกันเป็นก้อนร่วนๆ แตกง่าย ทิ้งไว้ในอากาศ จะระเหิดไปหมด รสร้อนปร่าเมา บํารุงธาตุ ทําให้อาหารงวดขับเสมหะและลม แก้ธาตุพิการ แน่นจุกเสียด ปวดท้อง ขับลมในลําไส้ แก้ไอ แก้เลือดลม ชูกําลัง แก้คัน แก้โรคตา ขับลมให้ผาย กระจายลม บํารุงความกําหนัด ขับ เหงื่อ แก้ปวดตามเส้น เกลื่อนฝี แก้เคล็ดขัดยอก บวม แก้กระตุก แก้ปวดข้อ แก้ ปวดเส้นประสาท แก้รอยผิวหนังแตก แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย
- เพราะอะไรยาดมถึงยังฮิตตลอดกาล
ยาดมสมุนไพรจัดอยู่ในกลุ่มยาแผนโบราณ เมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันเริ่มเข้ามาในประเทศไทย การใช้ยาสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยเริ่มลดน้อยลง แต่ความนิยมของยาดมไม่ได้น้อยลงตาม ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า ในปัจจุบันแนวโน้มการใช้สมุนไพรเริ่มกลับมามีบทบาทเนื่องจากผู้คนเริ่มหันกลับมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้น การใช้สมุนไพรมีผลข้างเคียงที่น้อยกว่ายาปฏิชีวนะ ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย มีความปลอดภัยสูง สามารถใช้ได้โดยไม่ต้องกังวลกับโอกาสที่จะเกิดความเป็นพิษ อาการไม่พึงประสงค์ หรือผลข้างเคียงต่างๆ
โดยการใช้สมุนไพรยังมีข้อมูลพื้นฐานอ้างอิงตามหลังข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ จึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับโรค อาการอย่างถูกต้อง และยังคงมีความเสี่ยง ที่เกิดจากการใช้สมุนไพรที่ผิดประเภท ผิดอาการ ผิดขนาด และผิดวิธี ทำให้รักษาหรือบรรเทาอาการได้ไม่ตรง ตามวัตถุประสงค์ และอาจนำไปสู่อาการไม่พึงประสงค์ และการแพ้ยา แต่ทั้งนี้สมุนไพรก็ยังคงมีความน่าเชื่อถือและมั่นใจต่อการใช้มากกว่ายาแผนปัจจุบัน
นอกจากนี้ยาดมเป็นยาที่ได้ชื่อว่าสะดวกพกพาง่ายหาซื้อได้ตามร้านค้าหรือร้านขายยาทั่วไป พร้อมกับสรรพคุณที่เหลือล้นทั้งบรรเทาอาการคัดจมูก หายใจไม่ออก และบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ
- ดมยาอย่างไรไม่ให้เป็นทุกข์
ทุกอย่างเมื่อมีข้อดีก็มักจะมีข้อเสียด้วยเช่นกัน เพราะการดมยาดมบ่อยครั้งอาจทำให้เกิดอาการติดได้ เนื่องจากสารเคมีที่ใช้ผลิตบางชนิด เช่น เมนทอล การบูร เป็นสารที่มีผลต่อระบบประสาท แต่ไม่ใช่ว่าจะอันตรายรุนแรงเสียทีเดียว เพียงแต่การติดยาดมนั้นจะเป็นรูปแบบที่ใช้จนติดเป็นนิสัยหรือขาดไม่ได้เท่านั้นเอง ยาดมเป็นยาสามัญประจำบ้านที่มีประโยชน์ หากรู้จักใช้อย่างถูกวิธี ก็จะได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด ซึ่งวิธีการใช้ยาดมที่ถูกต้องตามคำแนะนำขององค์กรอาหารและยา มีดังนี้
1. ควรสูดดมใกล้ๆ แต่ไม่สัมผัสโดยตรง
2. ไม่ควรให้หลอดยาเข้าไปค้างในจมูก เพราะสารทุกตัวอาจทำให้ระคายเคืองเมื่อสัมผัส
3. ควรหลีกเลี่ยงการใช้หลอดยาดมร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจทำให้ติดเชื้อได้
4. ยาดมมีฤทธิ์บรรเทาอาการวิงเวียน หน้ามืด ตาลาย เพียงชั่วคราว หากอาการหนักควรพบแพทย์
5. ยาดมที่มีลักษณะเป็นยาน้ำหรือขี้ผึ้ง ให้ใช้สำลีหรือผ้าเช็ดหน้าป้าย หรือนำมาทาบางๆ ที่หน้าอก แล้วสูดไอระเหย
6. หากมีโรคที่เกี่ยวกับโพรงจมูกควรหลีกเลี่ยง เพราะหากสูดยาดมที่มีเข้มข้นมากๆ อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองมากขึ้น
-------------------------
อ้างอิง :
รัชนี ตรีเลิศลัญจกร และเดชรัต สุขกําเนิด :ปัจจัยที่มีผลต่อการซื้อยาดมสมุนไพรหอม วิสาหกิจชุมชนกล่มแม่บ้านเกษตรกรไทรม้า ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
"ที่มา" - Google News
August 05, 2020 at 09:45AM
https://ift.tt/31kZceL
เปิดที่มา 'ยาดม' เพื่อนสนิทมิตรคู่บ้านคนไทยทุกยุคสมัย - กรุงเทพธุรกิจ
"ที่มา" - Google News
https://ift.tt/2ZXuIAi
No comments:
Post a Comment